Posts

Showing posts from March, 2017

มนุษย์หิมะเยติ

Image
มนุษย์หิมะเยติ เยติ หรือ มนุษย์หิมะ เป็นชื่อเรียกมนุษย์วานรในตำนานของชาวภูเขาในเทือกเขาหิมาลัยประเทศเนปาล โดยเชื่อว่าเยติ เป็นสัตว์คล้ายมนุษย์ผสมกับลิงไม่มีหางคล้ายกอริลลา มีขนยาวสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลดำหรือสีเทาหรือเทาเข้มปกคลุมทั้งลำตัว ยกเว้นใบหน้าที่มีสีคล้ำ ขนาดใหญ่สูงตั้งแต่ 5–8 ฟุต น้ำหนักประมาณ 600 ปอนด์ โดยปรกติแล้วเยตินั้นเป็นสัตว์ที่มีนิสัยสงบเสงี่ยม แต่อาจดุร้ายโจมตีใส่มนุษย์และสัตว์เลี้ยงได้ในบางครั้ง ผู้สนับสนุน ที่ภูฏานชาวพื้นเมืองต่างเชื่อว่าเยติมีจริง หลายต่อหลายคนเคยได้พบเจอตัวหรือได้ยินเสียงของเยติ โดยกล่าวว่าเยติเป็นสัตว์ดุร้าย ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ มีเขี้ยวที่ยาวและแหลมคม  มีขนสีน้ำตาลแดงปกคลุมทั่วร่างรวมถึงมีใบหน้าคล้ายลิง เสียงร้องของเยติเป็นเสียงสูง และสามารถฆ่ามนุษย์ได้ เยตินั้นอาศัยอยู่ตามถ้ำหรือในป่าลึก ซึ่งจะออกหากินในช่วงเวลาที่อากาศอบอุ่น และทำรังด้วยการใช้กิ่งไม้ขัดสานกันเหมือนเตียงนอน หลักฐานของเยติ แบ่งออกเป็นสามประเภทใหญ่ ๆ คือ รอยเท้า ,ผู้ที่พบเห็นตัวมัน และหลักฐานทางกายภาพ เช่นกะโหลกและหนังของมัน รอยเท้าเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความสนใจอย่างมาก มีการรา

ตำนานแม่นาคพระโขนง

Image
"แม่นาคพระโขนง”ตำนานเรื่องผีไทยที่โด่งดังไปทั่วโลก ก่อนที่จำถูกนำมาสร้างเป็นหนังเป็นละครหลายๆภาคมานั้น เรื่องราวหรือตำนาน "แม่นาคพระโขนง” หรือ แม่นาค (แม่นาก) นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก ที่แม้ความตายก็มิอาจขวางกั้นได้ ระหว่างวิญญาณแม่นาค “ผีตายทั้งกลม” กับพ่อมากผู้เป็นสามี ซึ่งเรื่องราวของแม่นาคเป็นที่รู้จักกันดีของคนไทยหลายต่อหลายรุ่น เชื่อกันว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ปัจจุบันมีศาลแม่นาคตั้งอยู่ที่วัดมหาบุศย์ ซอยอ่อนนุช 7 (สุขุมวิท 77) เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร ผู้สนับสนุน เรื่องเล่าของแม่นาคพระโขนง  เป็นเรื่องเล่าถึงครอบครัวหนึ่งคือหนุ่มสาว สามีภรรยาที่อาศัยอยู่ ณ บริเวณพระโขนง ฝ่ายสามีมีชื่อว่า นายมาก ส่วนภรรยามีชื่อว่า นางนาค ทั้งสองอยู่กินกันจนในที่สุดฝ่ายหญิงก็ตั้งครรภ์อ่อน แต่ยังไม่ทันจะได้คลอดลูก ก็มีเหตุจำเป็นที่นายมากสามีถูกเรียกให้ต้องไปรับใช้ชาติเป็นทหารประจำการณ์ที่กรุงบางกอก ทำให้ทั้งคู่ต้องพรากจากกัน และปล่อยให้นางนาคอยู่เพียงลำพังกับลูกน้อยในครรภ์ เวลาผ่านไป นางนากก็ท้องแก่ขึ้นเรื่อยๆ จนถึววันที่ครบกำหนดคลอด หมอตำแยก็มาทำคลอดให้ แต่ทว

มาราไคโบทะเลสาบแห่งสายฟ้า (Lake Maracaibo)

Image
ดินแดนต้องคำสาป ทะเลสาบแห่งสายฟ้า ทะเลสาบมาราไคโบ (Lake Maracaibo)  ทะเลสาบแห่งสายฟ้า สถานที่แห่งนี้อยู่ในประเทศเวเนซูเอล่า เป็นทะเลสาบที่เกิดฟ้าแลบหรือฟ้าผ่า มากที่สุดในโลก ด้วยความน่ากลัวของฟ้าผ่า ฟ้าร้อง ฟ้าแลบ เราคงไม่ต้องพูดถึงเสียงของมัน น่าจะมีผลกระทบทางด้านจิตใจมากกว่าทำให้เสียชีวิต แต่แน่นอน การเกิดขึ้นบ่อยๆในแถบทะเลสาบ ทะเลสาบมาราไคโบ ถ้าหากว่าไม่ใช่คนในท้องถิ่นจริงๆอาจเกิดอาการขวัญผวาได้ ปรากฎการณ์นี้มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า ( Venezuela’s Catatumbo Lightning phenomenon ) เกิดขึ้นที่บริเวณปากแม่น้ำคาตาตัมโบ Catatumbo ช่วงรอยต่อกับทะเลสาบมาราไคโบ Lake Maracaibo ประเทศเวเนซูเอลาในทวีปอเมริกาใต้ ผู้สนับสนุน ทะเลสาบมาราไคโบเป็นที่รู้จักกันมานานกับการเกิดฟ้าผ่า ฟ้าแลบ  และปีก่อนหน้านี้ก็มีการบันทึกในกินเนสบุ๊คว่าเป็นจุดที่มีอันตรายเกี่ยวกับไฟฟ้ามากที่สุดในโลก แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบัน ข้อมูลใหม่ล่าสุดที่ถูกนำเสนอโดยราเชล อัลเบรทแห่งมหาวิทยาลัยเซาเปาโล สามารถชี้ตำแหน่งที่แม่นยำซึ่งดึงดูดสายฟ้าฟาดปริมาณมหาศาลในทะเลสาบ โดยใช้ข้อมูลดาวเทียมที่บันทึกโดยอุปกรณ์บันทึกภาพซึ่งไวต่อแสง

บาซิลิสก์ (Basilisk)

Image
บาซิลิสก์ (Basilisk) บาซิลิสก์ (Basilisk) มาจากคำว่า Basilisko ซึ่งแปลว่าราชาน้อย บางตำนานได้กล่าวไว้ว่า บาซิลิสก์นั้นเป็นงูใหญ่ที่น่ากลัวและน่าสยดสยองซึ่งแค่มองผ่านเหยื่อก็ทำให้เหยื่อตายได้ ในทำนองเดียวกับเมดูซ่า บ้างก็กล่าวไว้ว่ามันไม่ได้เป็นงูยักษ์เสมอไป อาจจะเป็นงูตัวเล็ก หรือเป็นสัตว์เลื้อยคลานคล้ายคางคกและไก่ ผู้สนับสนุน บาซิลิสก์นั้นเป็นสัตว์ในตำนานกรีก ว่ากันว่าบาซิลิสก์ เป็นงูที่เกิดจากไข่ไก่ที่วางไข่โดยไก่ตัวผู้ที่มีอายุ 7 ปี ในขณะที่มีกลุ่มดาวสุนัขปรากฏบนท้องฟ้า (กลุ่มดาวซิริอุส) หลังจากที่ไข่ถูกวางเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่กกไข่นั้นหาใช่ไก่ไม่ แต่กลับเป็นคางคก และสิ่งที่ฟักตัวออกมานั้นก็คือบาซิลิสก์นั่นเอง นอกจากนี้ บาซิลิสก์กลุ่มแรกๆที่กำเนิดขึ้นนั้น ในตำนานยังมีวิธีเกิดวิธีอื่นอีก คือเมื่อครั้งที่วีรบุรุษเปอร์ซีอุสจัดการสังหารเมดูซ่าลง หลังจากที่เมดูซ่าถูกตัดหัวสิ่งที่พุ่งออกมาจากหัวของเมดูซ่านั่นก็คือ ไครซาออร์ และม้าบินปิกาซัส นอกจากนี้ และยังมีอีกสิ่งตามออกมาด้วยนั้นก็คือ "เลือด" และเมื่อเลือดของเมดูซ่านั้นไหลลงสู่พื้นดิน บาซิลิสก์จึงได้ถือกำเนิดขึ้น ได้มีนักเ

แบนชี (BANSHEE)

Image
BANSHEE แบนชี ตามตำนานชาวไอร์แลนด์ (Irish) แบนชีนั้นเป็นวิญญาณของผู้หญิงที่จะร้องเสียงโหยหวน ก็ต่อเมื่อได้สัมผัสกับกลิ่นอายแห่งความตาย แบนชีนั้นจะติดตามครอบครัวบางครอบครัวเป็นพิเศษ และจะส่งเสียงร้องโหยหวนเมื่อมีสมาชิกในครอบครัวกำลังใกล้จะตาย ลักษณะของแบนชีนั้นจะมีผมพลิ้วไหวและดวงตาสีแดงจากการร่ำไห้ และในบางตำนานบอกว่าตัวเธอนั้นมีรูจมูกรูเดียว..... มีตีนเหมือนเป็ด ผมยาวยุ่งเหยิงปิดหน้าตาเอาไว้ ผู้สนับสนุน บางตำนานได้เล่าว่ามันเป็น ผู้บอกเหตุแห่งความตายล่วงหน้า มันจะปรากฏให้เห็นในรูปร่างของคนซักผ้า แล้วมันก็ร้องไห้คร่ำครวญไป ใครทนไม่ได้ก็จะออกไปจับ และ เมื่อถูกจับได้มันจะติดสินบนให้ปล่อยตัวโดยเสนอว่าจะให้พรสามประการ และหากต้องการจะรู้ว่าใครจะถึงฆาตมันจะบอกให้โดยดี นี่คือสาเหตุที่มันมานั่งร้องไห้อยู่

เทพีแห่งการเก็บเกี่ยว ดิมิเตอร์ (Demeter)

Image
ดิมิเตอร์  (Demeter) หรือ ซีริส (Ceres) เทพีแห่งการเก็บเกี่ยว กรีซเป็นประเทศที่มีการเพาะปลูกและเกษตรกรรมโดยมีอาชีพหลัก ทุ่งข้าวโพด ทุ่งข้าวสาลีที่เหลืองอร่าม และมีเทพเจ้าพระองค์หนึ่งคือ พระเทพีดิมิเตอร์ พระองค์ทรงเป็นเทพเจ้าที่ชาวกรีกให้ชาวเคารพและบูชามากองค์หนึ่ง เพราะพระองค์ทรงประทับใกล้กับมนุษย์และมีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของมนุษย์มาก เพราะเมื่อถึงฤดูแห่งการเก็บเกี่ยวเหล่าชาวเกษตรกรจะประทำการบูชาเทพีดิมิเตอร์ จนกลายเป็นเทศกาลการเก็บเกี่ยว ผู้คนจะเต้นรำและเลี้ยงฉลองโดยการนำเอาวัตถุดิบเป็นผลผลิตจากท้องไร่ท้องนาของตนมาเป็นเครื่องบูชา พร้อมกับร้องเพลงและบรรเลงดนตรีสรรเสริญพระองค์ รวมถึงตกแต่งประดับพระวิหารให้งดงามด้วยเหล่าดอกไม้และผลไม้ธัญหารมากมาย ผู้สนับสนุน พระเทพีดิมิเตอร์ทรงเป็นพระพี่นางและพระชายาแห่งเทพซีอุส และมีพระธิดาให้ เทพซีอุส คือ เทพีเพอร์เซโฟนี ซึ่งพระเทพีดิมิเตอร์พระองค์ทรงรักและหวงพระธิดาพระองค์นี้มาก พระองค์มักจะอยู่กับพระธิดาด้วยเสมอๆ และด้วยความรักอันมากมายของพระเทพีดิมิเตอร์จึงก่อเกิดตำนานการเกิดฤดูกาลเก็บเกี่ยวและฤดูแห้งแล้ง ต้นเหตุมาจากเทพฮาเดสลักพาเทพีเพอร์เ

เทพแห่งความตายฮาเดส (Hades)

Image
เทพฮาเดส  เทพฮาเดส (Hades) หรือเทพเจ้าพลูโต เทพแห่งความตาย เป็นพระเจ้าแห่งโลกบาดาลของกรีกโบราณ สุดท้าย พระนามฮาเดสได้กลายมาเป็นชื่อเรียกถิ่นของผู้ตาย ในเทพปกรณัมกรีก ฮาเดสเป็นพระโอรสองค์โตของโครนัสและเรีย ผู้สนับสนุน ฮาเดส ได้ชื่อว่าเป็นเทพที่มีความเที่ยงธรรมอย่างมาก ตัดสินความดีชอบของคนตายโดยปราศจากอคติใด ๆ ทั้งสิ้น  พระองค์เป็นเทพพลูโต ทำหน้าที่ดูแลเมืองบาดาล หรือยมโลก และคนตายทั้งหมด โดยคำว่า”พลูโต” มีความหมายถึง เทพแห่งทรัพย์ เพราะนอกจากจะดูแลยมโลกแลัว ท้าวฮาเดสยังทำหน้าที่ครองมวลธาตุล้ำค่าที่อยู่ภายใต้พื้นพิภพอีกด้วย บางทีจึงมีชื่อว่า ดีส (Dis) ที่หมายความว่า ทรัพย์ นั่นเอง (แม้ว่าบางตำนานอาจกล่าวว่า ฮาเดสทำหน้าที่ครองเมืองยมโลกและคนตายเท่านั้น) ในขณะที่ เทพที่ทำหน้าที่ครองความตายอีกองค์หนึ่ง มีชื่อเรียกในภาษากรีกว่า ธานาทอส ( Thanatos ) หรือ ชื่อในภาษาลาตินว่า ออร์คัส ( Orcus ) เทพองค์นี้เป็นคู่กันกับ ฮิปนอส ( Hipnos ) เทพประจำความหลับ แม้ว่าเทพ ฮาเดสจะเป็นหนึ่งในเทพแห่งโอลิมปัส แต่ก็ไม่ค่อยจะได้ออกจากยมโลกเพื่อเสด็จขึ้นไปยังเขาโอลิมปัสมากเท่าไรนัก และก็ไม่ค่อยอยากมีใครย

เทพีแห่งพืชพรรณ เพอร์เซโฟนี ( Persephone)

Image
เพอร์เซฟะนี Persephone             เพอร์เซโฟนี ( Persephone) ก่อนจะได้ตำแหน่งนี้ของเธอก็คือคอเร (Kore) ซึ่งแปลตามตัวก็คือ "ดอกไม้" และเธอก็เป็นเหมือน เทพีแห่งพืชพรรณ และ เพอร์เซฟะนีคือธิดาของพระนางดิมิเทอร์ ( Demeter) เทพีแห่งการเก็บเกี่ยวและ ซุส ( Zeus) เทพผู้ปกครองโอลิมปัส  ด้วยความที่เพอร์เซฟะนีนั้นมีความงดงงามมากเหนือใครบวกกับความหวงลูกสาวของพระเทพีดิมิเตอร์จึงพาเพอร์เซฟะนีไปอยู่ห่างๆโอลิมปัสไว้ เทพองค์ไหนเข้ามาขอแต่งงานก็ถูกพระนางดิมิเทอร์ไล่กลับไปหมด ผู้สนับสนุน          ทว่าว่าดีมิเทอร์ลืมระวังอีกคนที่อยู่นอกโอลิมปัสไป นั้นก็คือราชาแห่งยมโลก ฮาเดส ซึ่งหลงรักหลานตนเอง หลังจากที่ได้เห็นเธอเที่ยวเก็บดอกไม้ ฮาเดสนั้นไม่ได้เข้าหาทางดีมิเทอร์เพราะได้ยินกิติศัพธ์ที่ในความหวงลูกสาว ฮาเดสจึงไปขอจากซุสแทน ปรากฏว่าซุสเห็นดีเห็นงามด้วยกับฮาเดส แถมยังเป็นคนแนะนำให้ฮาเดสลักพาตัวลูกตนเองไป โดยในขณะที่เพอร์เซฟะนีกำลังเก็บดอกไม้ในสวน พื้นรอบๆตัวเธอก็กลายเป็นหลุมแล้วรถม้าของฮาเดสก็ปรากฏออกมา และบังคับนางไปยังยมโลก          เมื่อเทพีดีมิเทอร์ทราบเรื่องว่าเพอร์เซฟะนี นางก็ออกตามหาไปจนท